001-การทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท หลังการตรัสรู้ |
21424 |
|
|
002-สิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท |
12786 |
|
|
003-เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นพระพุทธองค์ |
10522 |
|
|
004-ปฏิจจสมุปบาท คืออริยญายธรรม |
9776 |
|
|
005-คนเราจิตยุ่ง เพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท |
9110 |
|
|
006-ปฏิจจสมุปบาท เป็นชื่อแห่งทางสายกลาง |
9037 |
|
|
007-ทรงแนะนำอย่างยิ่ง ให้ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท |
9492 |
|
|
008-คนเราไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม เพราะไม่สามารถตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท |
9910 |
|
|
009-ความหมายของปฏิจจสมุปบาท แต่ละอาการ |
9321 |
|
|
010-ปฏิจจสมุปบาทแต่ละอาการ |
8098 |
|
|
011-ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อย่างวิธีถามตอบ |
7696 |
|
|
012-ปัจจยาการแม้เพียงอาการเดียว ก็ยังตรัสเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท |
7410 |
|
|
013-แม้แสดงเพียงผัสสะให้เกิดเวทนา ก็ยังเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท |
6348 |
|
|
014-ทรงเปรียบปฏิจจสมุปบาทด้วยการขึ้นลง ของน้ำทะเล |
6365 |
|
|
015-การเห็นปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าการเห็นธรรม |
5682 |
|
|
016-ปฏิจจสมุปบาทคือกฎแห่งธรรมฐิติ- ธรรมนิยาม |
6455 |
|
|
017-ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องลึกและดูลึก |
5213 |
|
|
018-ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องลึกซึ้ง เท่ากับเรื่องนิพพาน |
6289 |
|
|
019-นรกเพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทร้อนยิ่งกว่านรกไหนหมด |
5313 |
|
|
020-ผู้แสดงธรรมโดยหลักปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น จึงชื่อว่า เป็นธรรมกถึก |
4962 |
|
|
021-ปฏิจจสมุปบาท ทำให้อยู่เหนือความมี และความไม่มีของสิ่งทั้งปวง |
5080 |
|
|
022-ไม่มีผู้นั้น หรือผู้อื่น ในปฏิจจสมุปบาท |
4954 |
|
|
023-กายนี้ไม่ใช่ของใคร เป็นเพียงกระแสปฏิจจสมุปบาท |
5239 |
|
|
024-ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมที่ทรงแสดง เพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา |
5031 |
|
|
025-ปฏิจจสมุปบาท มีหลักว่า “ไม่มีตนเอง ไม่มีผู้อื่น ที่ก่อสุขและทุกข์” |
4731 |
|
|
026-การรู้ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักการพยากรณ์อรหัตตผล |
4535 |
|
|
027-เรื่องปฏิจจสมุปบาท คือเรื่องอริยสัจ |
5185 |
|
|
028-ปฏิจจสมุปบาททุกอาการมีลักษณะแห่งความเป็นอริยสัจสี่ |
4451 |
|
|
029-ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแสดงการก่อขึ้นแห่งทุกข์ |
4074 |
|
|
030-ปฏิจจสมุปบาทซึ่งแสดงการดับลงแห่งทุกข์ |
4052 |
|
|
031-อริยสัจในรูปแห่งปฏิจจสมุปบาทมีในขณะแห่งเวทนา |
3968 |
|
|
032-อาการที่ยุ่งยากที่สุดของปฏิจจสมุปบาทคืออาการของตัณหา |
4041 |
|
|
033-ความเหนียวแน่นของสัสสตทิฏฐิ ปิดบังการเห็นอริยสัจสี่ |
3904 |
|
|
034-นัตถิกทิฏฐิปิดบังการเห็นอริยสัจสี่ |
3661 |
|
|
035-ปฏิจจสมุปบาทรวมอยู่ในบรรดาเรื่องที่ใครคัดค้านไม่ได้ |
3886 |
|
|
036-ปฏิจจสมุปบาทมีเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ |
3735 |
|
|
037-ปฏิจจสมุปบาทดับได้กลางสาย |
3541 |
|
|
038-นันทิเกิดเมื่อใด ก็มีปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้น |
3564 |
|
|
039-นันทิดับเมื่อใด ปฏิจจสมุปบาทดับเมื่อนั้น |
3413 |
|
|
040-ในภาษาปฏิจจสมุปบาท กรรมให้ผล ในอัตตภาพที่กระทำกรรม |
3436 |
|
|
041-เห็นปฏิจจสมุปบาท คือฉลาดในเรื่องกรรม |
3396 |
|
|
042-นามรูปหยั่งลง เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเป็นอัสสาทะ |
3434 |
|
|
043-นามรูปไม่หยั่งลง เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเป็นอาทีนวะ |
3260 |
|
|
044-ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสระคนกับปัญจุปาทานขันธ์ |
3610 |
|
|
045-ปฏิจจสมุปบาทจะมีได้แก่ทารก เฉพาะที่โตขึ้นถึงขนาดรู้สึกยึดถือในเวทนา |
3410 |
|
|
046-ปัจจยาการแห่งเวทนา โดยละเอียด |
3318 |
|
|
047-อายตนะ คือ จุดตั้งต้นของปฏิจจสมุปบาท |
3280 |
|
|
048-การเกิดขึ้นแห่งไตรทวารขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นแห่งอวิชชาของปฏิจจสมุปบาท |
3191 |
|
|
049-อวิชชาสัมผัส คือต้นเหตุอันแท้จริงของปฏิจจสมุปบาท |
3472 |
|
|
050-นามรูปก้าวลง เมื่ออนุสัยก่อขึ้น |
3371 |
|
|
051-ตัณหาเกิดขึ้น เมื่ออนุสัยก่อขึ้น |
3176 |
|
|
052-ภพใหม่เกิดขึ้น เมื่ออนุสัยก่อขึ้น |
3044 |
|
|
053-การหยั่งลงแห่งวิญญาณเกิดมีขึ้น เมื่อเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเป็นอัสสาทะ |
3077 |
|
|
054-การหยั่งลงแห่งวิญญาณไม่มี เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเป็นอาทีนวะ |
3011 |
|
|
055-การเกิดแห่งโลก คือการเกิดแห่งกระแสปฏิจจสมุปบาท ที่เกิดขึ้นในใจคน ทุกคราวไป |
2904 |
|
|
056-การดับแห่งโลก คือการดับแห่งกระแสปฏิจจสมุปบาท ที่ดับลงในใจคน ทุกคราวไป |
2940 |
|
|
057-ทรงแสดงอัตตวาทุปาทานในลักษณะแห่งปฏิจจสมุปบาท |
3043 |
|
|
058-เวทนาในปฏิจจสมุปบาท ให้เกิดอนุสัยสาม |
2863 |
|
|
059-ปฏิจจสมุปบาทแห่งการเกิดสังขาร ๔ ประเภท |
2672 |
|
|
060-การดับตัณหาเสียได้ก่อนแต่จะเกิดอุปาทาน |
2873 |
|
|
061-การสิ้นกรรม ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท |
2761 |
|
|
062-อายตนะยังไม่ทำหน้าที่ ปัญจุปาทานขันธ์ ก็ยังไม่เกิด |
2987 |
|
|
063-ปัญจุปาทานขันธ์เพิ่งจะมี เมื่อเกิดเวทนาในปฏิจจสมุปบาท |
2526 |
|
|
064-การเกิดแห่งโลก คือการเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาท |
2503 |
|
|
065-ทุกข์เกิดเพราะเห็นอุปาทานิยธรรม โดยความเป็นอัสสาทะ |
2472 |
|
|
066-ทุกข์เกิด เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเป็นอัสสาทะ |
2470 |
|
|
067-แดนเกิดดับแห่งทุกข์ โรค ชรา มรณะ |
2842 |
|
|
068-การดับแห่งโลก คือการดับแห่งปฏิจจสมุปบาท |
2650 |
|
|
069-ปฏิจจสมุปบาท (นิโรธวาร) ที่ตรัสอย่างเข้าใจง่ายที่สุด |
2523 |
|
|
070-ทุกข์ดับ เพราะเห็นอุปาทานิยธรรม โดยความเป็นอาทีนวะ |
2448 |
|
|
071-ทุกข์ดับ เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเป็นอาทีนวะ |
2286 |
|
|
072-ตรัสว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ |
2309 |
|
|
073-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องเที่ยวแสวงหาครู |
2257 |
|
|
074-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องทำการศึกษา |
2231 |
|
|
075-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องบำเพ็ญโยคะ |
2290 |
|
|
076-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องประกอบฉันทะ |
2274 |
|
|
077-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องบำเพ็ญอุสโสฬหี |
2358 |
|
|
078-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องบำเพ็ญอัปปฏิวานี |
2346 |
|
|
079-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องประกอบความเพียรแผดเผากิเลส |
2291 |
|
|
080-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องประกอบวิริยะ |
2325 |
|
|
081-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องประกอบการกระทำอันติดต่อ |
2120 |
|
|
082-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องอบรมสติ |
2276 |
|
|
083-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องอบรมสัมปชัญญะ |
2286 |
|
|
084-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ยังมีหน้าที่ ต้องบำเพ็ญความไม่ประมาท |
2054 |
|
|
085-ทรงมุ่งหมายให้ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องการปฏิบัติ |
2132 |
|
|
086-การหลีกเร้นทำให้ง่ายแก่การรู้ปฏิจจสมุปบาท |
2172 |
|
|
087-การคิดค้นปฏิจจสมุปบาท ก็คือการเดินตามอริยอัฏฐังคิกมรรค |
2059 |
|
|
088-ปฏิบัติเพื่อการดับปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม |
2044 |
|
|
089-การดับทุกข์มีได้ด้วยการคบสัปปบุรุษ |
2022 |
|
|
090-ผัสสะ คือนิทานสัมภวะส่วนมากของนิพเพธิกธรรม |
2161 |
|
|
091-ปฏิจจสมุปบาทแห่งการกำจัดอุปสรรคขณะเจริญสติปัฏฐาน |
2170 |
|
|
092-ปฏิจจสมุปบาท เพื่อสามัญญผลในปัจจุบัน |
2097 |
|
|
094-ปฏิจจสมุปบาท เป็นสิ่งที่ต้องเห็นด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญา |
2466 |
|
|
095-แม้การทำความเพียรในที่สงัด ก็ยังต้องปรารภขันธ์ห้า ตามวิธีการของปฏิจจสมุปบาท |
2063 |
|
|
096-แม้สุขทุกข์ในภายใน ก็เกิดขึ้นเพราะปรารภขันธ์ห้า |
2129 |
|
|
097-ต้นเงื่อนของปฏิจจสมุปบาท ละได้ด้วยการเห็นธรรมทั้งปวงว่าไม่ควรยึดมั่น |
2194 |
|
|
098-ต้นเงื่อน แห่งปฏิจจสมุปบาท ละได้ด้วยการเห็นอนิจจัง |
2305 |
|
|
099-อาการแห่งอนิจจัง โดยละเอียด |
2169 |
|
|
100-เคล็ดลับในการปิดกั้นทางเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาท |
2295 |
|
|
101-การพิจารณาปัจจัยในภายใน คือการพิจารณาปฏิจจสมุปบาท |
2123 |
|
|
102-ธรรมปฏิบัติในรูปของปฏิจจสมุปบาท แห่งการละองค์สามตามลำดับ |
2231 |
|
|
103-วิธีปฏิบัติต่ออาหารสี่ในลักษณะที่เป็นปฏิจจสมุปบาท |
2199 |
|
|
104-การพิจารณาสภาวธรรม ตามวิธีปฏิจจสมุปบาทกระทั่งวาระสุดท้าย |
2114 |
|
|
105-อนุสัยไม่อาจจะเกิด เมื่อรู้เท่าทันเวทนา ในปฏิจจสมุปบาท |
2045 |
|
|
106-ปฏิจจสมุปบาทสลายตัว เมื่อรู้แจ้งธรรมห้า อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน |
2085 |
|
|
107-ญาณวัตถุ ๔๔ ในปฏิจจสมุปบาท เพื่อความเป็นโสดาบัน |
1998 |
|
|
108-ญาณวัตถุ ๗๗ ในปฏิจจสมุปบาท เพื่อความเป็นโสดาบัน |
1930 |
|
|
109-การรู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่เกี่ยวกับการบรรลุอภิญญาเลยก็ได้ |
1941 |
|
|
110-ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดท้ายของคนเรา |
2027 |
|
|
111-จิตสัตว์ยุ่งเป็นปม เพราะไม่เห็นแจ้งปฏิจจสมุปบาท |
2236 |
|
|
112-ผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท โดยอาการแห่งอริยสัจสี่ ไม่สามารถก้าวล่วงปฏิจจสมุปปันนธรรม |
2024 |
|
|
113-สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจปฏิจจสมุปบาท ยึดถือกายเป็นตัวตน |
1872 |
|
|
114-ทิฏฐิและการหยั่งลงแห่งทิฏฐิ เนื่องมาจากการยึดซึ่งขันธ์ทั้งห้า |
2405 |
|
|
115-ไม่ควบคุมรากฐานแห่งปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดทุกข์ |
1868 |
|
|
116-คนพาลกับบัณฑิตต่างกันโดยหลักปฏิจจสมุปบาท |
2109 |
|
|
117-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทโดยนัยสี่ |
2012 |
|
|
118-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ชรามรณะโดยนัยสี่ |
1758 |
|
|
119-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ชาติโดยนัยสี่ |
1884 |
|
|
120-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ภพโดยนัยสี่ |
2068 |
|
|
121-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้อุปาทานโดยนัยสี่ |
1866 |
|
|
122-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ตัณหาโดยนัยสี่ |
1971 |
|
|
123-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้เวทนาโดยนัยสี่ |
1994 |
|
|
124-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ผัสสะโดยนัยสี่ |
2078 |
|
|
125-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้สฬายตนะโดยนัยสี่ |
1914 |
|
|
126-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้นามรูปโดยนัยสี่ |
1938 |
|
|
127-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้ วิญญาณโดยนัยสี่ |
1988 |
|
|
128-เป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ ขึ้นอยู่กับการรู้หรือไม่รู้สังขารโดยนัยสี่ |
1871 |
|
|
129-การคุ้มครองผัสสายตนะ ๖ |
1923 |
|
|
130-ปฏิจจสมุปบาทอาการหนึ่ง (นันทิให้เกิดทุกข์) ถ้าเห็นแล้วทำให้หยุดความมั่นหมาย |
2160 |
|
|
131-พอรู้ปฏิจจสมุปบาท ก็หายตาบอดอย่างกระทันหัน |
1816 |
|
|
132-เพราะรู้ปฏิจจสมุปบาท จึงหมดความสงสัยเรื่องตัวตนทั้ง ๓ กาล |
1749 |
|
|
133-การรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทำให้หมดปัญหาเกี่ยวกับขันธ์ในอดีตและอนาคต |
1825 |
|
|
134-ผลอานิสงส์ พิเศษ ๘ ประการ ของการเห็นปฏิจจสมุปบาท |
1987 |
|
|
135-ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาท โดยอาการแห่งอริยสัจทั้งสี่ ย่อมสามารถก้าวล่วงปฏิจจสมุปปันนธรรม |
1943 |
|
|
136-อานิสงส์ ของการถึงพร้อมด้วยทัสสนทิฏฐิ |
2180 |
|
|
137-ผู้เสร็จกิจในปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าผู้บรรลุนิพพาน ในปัจจุบัน |
2024 |
|
|
138-อานิสงส์สูงสุด ของการพิจารณาปฏิจจสมุปบาทอย่างถูกวิธี |
2031 |
|
|
139-อุปะปริกขีในปฏิจจสมุปบาท เป็นอุดมบุรุษ |
1920 |
|
|
140-ภัยทั้งหลายใดๆก็ตาม ย่อมไม่เกิดจากบัณฑิต |
1796 |
|
|
141-ทรงเดินตามรอย แห่งพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ |
2155 |
|
|
142-การคิดค้นปฏิจจสมุปบาท ก่อนการตรัสรู้ |
1859 |
|
|
143-การคิดค้นปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้าในอดีต ๖ พระองค์ |
1791 |
|
|
144-ทรงบันลือสีหนาท เพราะทรงรู้ปัจจัยแห่งความเกิดและความดับ |
1840 |
|
|
145-ทรงพยากรณ์แต่อริยญายธรรมเท่านั้น |
1722 |
|
|
146-ทรงชักชวนวิงวอนเหลือประมาณ ในความเพียรเพื่อกิจเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท |
1778 |
|
|
147-ทรงแสดงธรรมเนื่องด้วยปฏิจจสมุปบาท มีความงามเบื้องต้น - ท่ามกลาง - เบื้องปลาย |
1876 |
|
|
148-ศาสดาและสาวก ย่อมมีการกล่าวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท |
1953 |
|
|
149-ทรงกำชับสาวกให้เล่าเรียนปฏิจจสมุปบาท |
1723 |
|
|
150-ไม่รู้เรื่องรากฐานแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็ยังไม่ใช่สาวกในศาสนานี้ |
1906 |
|
|
151-อริยสาวก ย่อมรู้ปฏิจจสมุปบาท โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น |
1757 |
|
|
152-อริยญายธรรมคือการรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท |
1755 |
|
|
153-การสนทนาของพระมหาสาวก (เรื่องปฏิจจสมุปบาท) |
1787 |
|
|
154-เวทนาของปุถุชน ต่างจากของอริยสาวก |
1833 |
|
|
155-อริยสาวกรู้ความเกิดและความดับของโลกอย่างไม่มีที่สงสัย |
2079 |
|
|
156-พระโสดาบัน คือผู้เห็นชัดปฏิจจสมุปบาท โดยวิธีแห่งอริยสัจสี่ |
1844 |
|
|
157-โสตาปัตติยังคะขึ้นอยู่กับการรู้ปฏิจจสมุปบาทของอริยสาวก |
1705 |
|
|
158-สามัญญผลในพุทธศาสนา เทียบกันไม่ได้ กับในลัทธิอื่น |
1786 |
|
|
159-ปฏิจจสมุปบาท ที่ซ้อนอยู่ในปฏิจจสมุปบาท |
1786 |
|
|
160-ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตรัสโดยพระพุทธเจ้าวิปัสสี |
2041 |
|
|
161-ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตรัสเหมือนแบบของพระพุทธเจ้าวิปัสสี |
1834 |
|
|
162-ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตั้งต้นด้วย อารัมมณเจตน-ปกัปปน-อนุสยะ |
1728 |
|
|
163-ปฏิจจสมุปบาท (สมุทยวาร) ที่ตรัสอย่างย่อที่สุด |
1790 |
|
|
164-ปฏิจจสมุปบาท (ทั้งสมุทยะและนิโรธวาร) ที่ตรัสอย่างสั้นที่สุด |
1784 |
|
|
165-ปฏิจจสมุปบาทแห่งอาหารสี่ |
1643 |
|
|
166-ปฏิจจสมุปบาทแห่งอาหารสี่ เพื่อภูตสัตว์ และ สัมภเวสีสัตว์ |
1807 |
|
|
167-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง อภัททกาลกิริยา (ตายชั่ว) |
1858 |
|
|
168-ปฏิจจสมุปบาท แห่งทุพพลภาวะ ของมนุษย์ |
1946 |
|
|
169-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง มิคสัญญีสัตถันตรกัปป์ |
1891 |
|
|
170-ปฏิจจสมุปบาทแห่งอารัมมณลาภนานัตตะ |
1706 |
|
|
171-ปฏิจจสมุปบาท แห่งการปฏิบัติผิดโดยไตรทวาร |
1884 |
|
|
172-ปฏิจจสมุปบาท แห่งการปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร |
1704 |
|
|
173-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การรบราฆ่าฟันกัน |
1829 |
|
|
175-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การอยู่อย่างมี “เพื่อนสอง” |
1856 |
|
|
176-ปฏิจจสมุปบาท แห่งการอยู่อย่าง “คนเดียว” |
1873 |
|
|
177-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การอยู่ด้วยความประมาท |
1870 |
|
|
178-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง ปปัญจสัญญาสังขาสมุทาจรณะ |
1880 |
|
|
179-ปฏิจจสมุปบาทแห่งปปัญจสัญญา อันทำความเนิ่นช้า แก่การละอนุสัย |
2476 |
|
|
180-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การดับปปัญจสัญญาสังขาร |
1964 |
|
|
181-ปฏิจจสมุปบาท ที่ยิ่งกว่าปฏิจจสมุปบาท |
1752 |
|
|
182-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง อาหารของอวิชชา |
1963 |
|
|
183-ปฏิจจสมุปบาท แห่งอาหารของภวตัณหา |
1859 |
|
|
184-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง อาหารของวิชชาและวิมุตติ |
1770 |
|
|
185-ปฏิจจสมุปบาทแห่งวิชชาและวิมุตติ |
1837 |
|
|
186-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง ปฏิสรณาการ |
1792 |
|
|
187-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง สัจจานุโพธ และผลถัดไป |
1633 |
|
|
188-ปฏิจจสมุปบาทแห่งการอยู่ด้วยความประมาทของอริยสาวก |
1856 |
|
|
189-ปฏิจจสมุปบาท แห่งการขาดที่อิงอาศัยสำหรับวิมุตติญาณทัสสนะ |
1842 |
|
|
190-ปฏิจจสมุปบาทเพื่อความสมบูรณ์แห่งอรหัตตผล |
1702 |
|
|
191-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง บรมสัจจะ |
1704 |
|
|
192-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง สุวิมุตตจิต |
1767 |
|
|
193-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การปรินิพพานเฉพาะตน |
1816 |
|
|
194-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง การดับอุปาทานสี่ |
1724 |
|
|
195-ปฏิจจสมุปบาท แห่ง ความสิ้นสุดของโลก |
2157 |
|
|
196-สัมมาทิฏฐิ คือ ทิฏฐิที่ปราศจากอัตถิตาและนัตถิตา |
1945 |
|
|
197-ปฏิจจสมุปบาท มีหลักว่า“ไม่มีตนเอง ไม่มีผู้อื่น ที่ก่อทุกข์” |
1991 |
|
|
198-แม้ทุกข์ในลัทธิทั้งหลายอื่น ก็มีผัสสะเป็นจุดตั้งต้น |
1835 |
|
|
199-พวกกัมมวาทีทุกพวก กับหลักปฏิจจสมุปบาท |
1899 |
|
|
200-เงื่อนงำที่อาจนำไปสู่สัสสตทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ ในอาการหนึ่ง ๆ ของปฏิจจสมุปบาท |
1916 |
|
|
201-โลกายตะ ๔ ชนิด ที่ทรงปฏิเสธ |
1872 |
|
|
202-ทิฏฐิชั้นหัวหน้า ๑๘ อย่าง ล้วนแต่ปรารภธรรมที่เป็นฐานะ ๖ อย่าง |
1920 |
|
|
203-ทิฏฐิ ๒๖ อย่าง ล้วนแต่ปรารภขันธ์ห้า |
1870 |
|
|
204-อันตคาหิกทิฏฐิ สิบ ๒,๒๐๐ นัย ล้วนแต่เป็นไปในขันธ์ห้า ล้วนแต่ปิดบังการเห็นปฏิจจสมุปบาท |
1764 |
|
|
205-ผัสสะ คือปัจจัยแห่งทิฏฐิ ๖๒ |
1660 |
|
|
206-ทิฏฐิ ๖๒ เป็นเพียงความรู้สึกผิด ๆ ของผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท |
1798 |
|
|
207-ผัสสะ (แห่งปฏิจจสมุปบาท) คือที่มาของทิฏฐิ ๖๒ |
1805 |
|
|
208-ทิฏฐิ ๖๒ เป็นผลของการไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท |
1794 |
|
|
209-ถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาท ก็จะไม่เกิดทิฏฐิอย่างพวกตาบอดคลำช้าง |
1684 |
|
|
210-ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อย่างประหลาด |
1839 |
|
|
211-ธาตุ ๓ อย่าง เป็นที่ตั้งแห่งความเป็นไปได้ของปฏิจจสมุปบาท |
1863 |
|
|
212-ปฏิจจสมุปบาท คือเรื่องความไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา |
1865 |
|
|
213-ที่สุดแห่งปฏิจจสมุปบาท คือที่สุดแห่งภพ |
1902 |
|
|
214-ธรรมไหลไปสู่ธรรม โดยไม่ต้องมีใครเจตนา |
2147 |
|
|
215-แม้พระพุทธองค์ก็ทรงสาธยายปฏิจจสมุปบาท |
4617 |
|
|
216-เรื่องปฏิจจสมุปบาทรวมอยู่ในเรื่องที่พุทธบริษัทควรทำสังคีติ |
2245 |
|
|